ซื้อ Projector (โปรเจคเตอร์)ในหน่วยงานราชการและบริษัทต่างๆ จะขาดเสียไม่ได้เลย หรือแม้กระทั่งการใช้เพื่อเพิ่มความบันเทิงภายในบ้านให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าราคาของ Projector จะลดลงจากสมัยก่อนค่อนข้างมากแล้วแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่การเลือกซื้อ Projector (โปรเจคเตอร์) มาใช้งานสักเครื่องควรพิจารณาถึงคุณภาพในการใช้งานและความคุ้มค่าของราคาให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจ
ความสว่าง (Brightness)
(ANSI LUMENS) เป็นมาตรฐานที่ใช้วัดความสว่างของโปรเจคเตอร์ครับ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในระดับสากลในการวัดค่าความสว่างของโปรเจคเตอร์ ANSI ย่อมาจาก American National Standard ส่วนคำว่า LUMEN เป็นการวัด flux หรือ ว่ามีพลังงานแสงออกมาจากแหล่งกำเนิดนั้น ๆ เท่าไหร่ ในเวลาหนึ่ง ๆ
แล้วเราควรจะเลือกความสว่างเท่าไหร่ดีล่ะ?
1. จำนวนคนในห้อง เพราะว่ายิ่งจำนวนคนในห้องมาก ภาพที่จะฉายก็จะต้องใหญ่ขึ้นตามไปด้วย พอภาพใหญ่ขึ้น ความสว่างของภาพจะลดลงตามไปด้วยเนื่องจากแสงจะกระจายไปตามระยะที่ฉายภาพครับ
2. ความสว่างของห้อง ถ้าห้องที่ฉายมืด เราก็จะไม่ต้องกังวลถึงความสว่างของโปรเจคเตอร์มากนัก เพราะถ้ากลัวจะสว่างไปโปรเจคเตอร์ในท้องตลาดตอนนี้สามารถที่จะปรับลดความสว่างของตัวมันเองได้อยู่แล้วซึ่งจะทำให้ประหยัดพลังงานและยืดอายุการใช้งานของโปรเจคเตอร์ได้ แต่ถ้าห้องที่มีแสงเข้ามามาก ท่านอาจจะต้องคำนึงถึงความสว่างของโปรเจคเตอร์เพราะถึงแม้ว่า โปรเจคเตอร์ในปัจจุบันจะสามารถ ปรับค่าความสว่างได้ แต่ถ้าท่านปรับค่าความสว่างของโปรเจคเตอร์ให้สูงสุดตลอดเวลานั่นอาจหมายความถึง อายุการใช้งานของโปรเจคเตอร์ก็จะสั่นลงตามไปด้วยเพราะฉะนั้นในกรณีที่ห้องมีแสงสว่างจ้าอยู่ตลอดเวลาท่านอาจจะต้องเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ที่มีความสว่างสูงขึ้น
3. ชนิดของจอรับภาพ จอรับภาพจะมีผลอย่างมากกับความสว่างและคุณภาพของภาพที่จะแสดงออกมาเพราะว่า จอรับภาพที่ดีจะทำให้ภาพสว่างและนุ่มนวลดูแล้วสบายตา ในกรณีที่ไม่มีจอรับภาพอาจจะทำให้ภาพที่ฉายสว่างไปหรือแสบตา
4. การนำไปใช้ เช่น ท่านใช้เพื่อการประชุม การเรียนการสอน ท่านอาจจะต้องการความสว่างที่ชัดเจน เพื่อเนื้อหาและรายละเอียดในการนำเสนอภาพจะได้ไม่ผิดพลาด ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับความต้องการใน
5. ระดับความสว่างของโปรเจคเตอร์ที่เหมาะสม
- ความสว่างน้อยกว่า 1000 Ansi Lumens : เป็นความสว่างซึ่งถือว่าน้อยในปัจจุบันนี้สำหรับเทคโนโลยีโปรเจคเตอร์ ซึ่งก็เหมาะสำหรับการฉายภาพในห้องที่มืดหรือมีแสงเล็กน้อย
- ความสว่าง 1000 – 2000 Ansi Lumens : เป็นความสว่างซึ่งอยู่ในระดับ ปานกลาง เหมาะสำหรับ ห้องประชุม,ห้องเรียนขนาดเล็กที่แสงสว่างไม่มากนัก การฉายภาพควรจะใช้ในห้องที่มีแสงสว่างรบกวนเพียงเล็กน้อย
- ความสว่าง 2000 – 3000 Ansi Lumens : เป็นความสว่างซึ่งอยู่ในระดับค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับห้องประชุม,ห้องเรียนที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ความสว่างระดับนี้สามารถที่จะฉายได้ในระยะที่ไกลขึ้นภาพที่ใหญ่ขึ้นและทำ การแสดงภาพยังคงชัดเจน
- ความสว่างมากกว่า 3000 Ansi Lumens : เป็นความสว่างซึ่งในระดับสูง เหมาะสำหรับ หอประชุม, ห้องบรรยาย หรือห้องที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นราคาของโปรเจคเตอร์ในความสว่างระดับนี้ก็แพงขึ้นตามไปด้วย
ความละเอียด ( Resolution )
ความละเอียดของการแสดงภาพซึ่งเป็นจุดเล็ก ๆ นับพันมารวมกันแล้วแสดงออกมาเป็นภาพ มีหน่วยเรียกเป็น pixel คำว่า pixel มาจากคำสองคำครับ “pix” คือ picture และ “el” คือ element นำมารวมกัน ซึ่งสำหรับโปรเจคเตอร์นั้นก็คือค่าที่โปรเจคเตอร์แต่ละรุ่นจะแสดงภาพออกมาได้ซึ่งแบ่งออกได้ตามนี้ครับ
1. SVGA (SUPER VGA) = “800 x 600” เป็นความละเอียดที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากเมื่อก่อนจาก VGA, CGA, EGA ซึ่งค่าตัวเลขที่ระบุคือ จำนวน พิกเซลที่โปรเจคเตอร์จะแสดงผลออกมาได้สูงสุด นั้น 800 x 600 พิกเซล เพราะฉะนั้นภาพที่จะแสดงให้เห็นได้จะมีความละเอียดสูงสุด 480,000 พิกเซล เหมาะสำหรับการแสดงผลในห้องขนาดกลาง
2. XGA (Extended Graphic Array ) = “1,024 x 768” เป็นขบวนการปรับภาพแบบขยาย ซึ่งค่าตัวเลขที่ระบุคือ จำนวนพิกเซลของโปรเจคเตอร์ที่จะสามารถแสดงผลความละเอียดได้สูงสุด 786,000 พิกเซล เหมาะสำหรับการแสดงผลกับโน๊ตบุ๊ค หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ห้องขนาดกลาง ไปถึง ค่อนข้างใหญ่
3. SXGA (Super Extended Graphic Array) = “1,280 x 1,024” เป็นความละเอียดที่สูงของโปรเจคเตอร์ ซึ่งจะสามารถแสดงผลความละเอียดได้สูงสุด 1,311,000 พิกเซล เหมาะสำหรับการแสดงภาพในห้องที่มีขนาดใหญ่หรืองานนำเสนอที่ต้องการความละเอียดค่อนข้างสูง
4. UXGA (Ultra Extended Graphic Array) = “1,600 x 1,200” เป็นความละเอียดที่ดีเยี่ยมของโปรเจคเตอร์ในปัจจุบันซึ่งสามารถแสดงผลความละเอียดได้สูงสุด 1,920,000 พิกเซล เหมาะสำหรับ การแสดงภาพในห้องโถง หรือ ห้องบรรยายที่มีขนาดใหญ่มาก
แล้วความละเอียดขนาดไหนถึงจะเหมาะสม?
ถ้าคุณต้องการใช้งานแค่ นำเสนองาน power point หรือ แผนภูมิ กราฟ หรือนำเสนองานทั่วไป คุณก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ความละเอียดในระดับที่สูงมากความละเอียดระดับ SVGA ก็น่าจะใช้งานได้อย่างสบาย ๆ
ถ้าคุณต้องการใช้งานจำพวก แสดงตารางเล็ก ๆ หรือ จำนวนตัวเลข ตัวอักษร เยอะ ๆ หรืองานภาพที่ต้องการความละเอียดที่ชัดเจนมากขึ้น หรือ ภาพเล็ก ๆ หลาย ๆ ภาพ ความละเอียดระดับ XGA ก็น่าจะเอาอยู่แล้ว
ถ้าคุณต้องการใช้งานจำพวก การวาดภาพแบบที่ต้องความละเอียดสูง หรือแสดงภาพทางเทคนิคที่ต้องการความละเอียดแบบสูงมาก หรือดูหนัง คุณก็น่าจะต้องใช้ ความละเอียดระดับ SXGA
อย่างไรก็ตามถ้าท่านต้องการที่จะเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ไปใช้กับโน๊ตบุ๊คหรือคอมพิวเตอร์ ควรที่จะเลือกความละเอียดของโปรเจคเตอร์ ให้เหมาะสมกับความละเอียดของคอมพิวเตอร์ท่านด้วย เพื่อความประหยัดและได้คุณภาพที่เหมาะสม
VGA หรือ SVGA หรือ XGA ดีครับ สำหรับดูหนังอย่างเดียว?
ในส่วนของ VGA นั้นคุณภาพไม่เพียงพอที่จะดูหนังครับ โดยในส่วนของการดูหนังนั้นจะใช้ระดับความละเอียด SVGA ถึงจะพอครับแต่หากคุณเอมีงบประมาณเพียงพอในระดับ XGA ก็จะได้ภาพที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นอีกระดับหนึ่งแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับหนังว่าที่เอานั้นคุณภาพเป็นอย่างไรด้วยครับ
ถ้านำไปดูหนังจาก UBC หรือ VCD ความละเอียดระดับ SVGA ก็จะพอแล้วน่ะครับ (นฤเทพ นิลฉวี)
Aspect ratio
คือ อัตราส่วนของความกว้างและความสูงของภาพ
4:3 ภาพจะมีความกว้าง 4 ส่วน สูง 3 ส่วน มีลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า (projector.co.th) |
16:9 ภาพจะมีความกว้าง 16 ส่วน ยาว 9 ส่วน หรือที่เรียกว่า Windscreen |
พิจารณาด้วยว่า Projector ที่กำลังจะซื้อนั้นสามารถแสดงผลในอัตราส่วนใดได้บ้าง อัตราส่วน 4:3 จะเหมาะสมกับการนำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ อัตราส่วน 16:9 (Wild Screen) จะเหมาะสมกับการนำไปใช้แบบ Home Theatre ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก โปรเจคเตอร์ในปัจจุบันจะสามารถปรับอัตราส่วนของภาพได้โดยการเข้าไปตั้งค่าภายใน แต่บางรุ่นก็ไม่สามารถปรับได้ เพราะฉะนั้นต้องดูว่าโปรเจคเตอร์ที่ท่านจะซื้อสามารถปรับอัตราส่วนภาพได้หรือไม่
Projector Technology (LCD, DLP, LCOS)
ระบบกลไกที่ Projector ใช้ในกระบวนการ Process เพื่อทำให้เกิดเป็นภาพให้เราได้เห็นกันนั้นนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรจะต้องศึกษาทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง Projector แต่ละตัวจะใช้ Technology ในการผลิตที่แตกต่างกันไปในแต่ละ Brand Technology ที่แตกต่างกันก็จะให้คุณภาพในการแสดงผลที่แตกต่างกัน
ณ ปัจจุบันนี้ Projector ถูกผลิตออกมาวางจำหน่ายด้วย Technology ดังนี้
1. LCD Technology
2. DLP Technology
Projector ที่ถูกผลิตด้วยระบบ DLP นี้จะให้ภาพที่คมชัด มีค่า contrast ที่สูง มีน้ำหนักเบาและมีอายุการใช้งานได้นาน
3. LCOS Technology
แต่ละเทคโนโลยีก็จะมีข้อดีและข้อด้อยต่างกันไปทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าจะยอมรับจุดไหนได้มากกว่ากันในการเลือกซื้อโปรเจคเตอร์ครับ
เทคโนโลยีโปรเจคเตอร์แบบ LCD
ข้อดี มีความสดและความคมชัดของสี และความสว่างของแสงที่ชัดเจน กว่า DLP
มีความสว่างของแสงมากกว่าในขณะที่ กำลัง watt เท่ากัน
ข้อด้อย ระดับความเข้มของสีดำ และ Contrast Ratio ยังไม่มากนัก
เทคโนโลยีโปรเจคเตอร์แบบ DLP
ข้อดี มีน้ำหนักเบากว่าในขนาดความสว่างที่เท่ากันกับ LCD Contrast Ratio & Black level ที่ดีกว่า
ข้อด้อย มีปัญหาประกายรุ้ง ( Rainbow Effect ) ในบางรุ่น
ระบบการเชื่อมต่อ (Conectivity)
Ports หรือช่องที่ใช้ในการรับส่งสัญญาณภาพและเสียงระหว่างอุปกรณ์ตั้งแต่สองตัวขึ้นไป เราจะพบ ports ต่างๆ อยู่ทางด้านหลังของตัว Projector จะต้องมีการนำเอาสายสัญญาณมาเชื่อมต่อเข้ากับ ports เสียก่อน Projector จึงจะสามารถรับสัญญาณแล้จึงส่งออกมาเป็นภาพได้
หลอดภาพ (Lamp life)
หลอดภาพนับเป็นส่วนสำคัญยิ่งสำหรับโปรเจคเตอร์ และราคายังสูงอยู่ ดังนั้นก่อนที่จะซื้อโปรเจคเตอร์จึงควรที่จะดูว่า โปรเจคเตอร์รุ่นนั้น รับประกันหลอดภาพกี่ชั่วโมง กี่เดือน โดยปกติส่วนใหญ่แล้วจะรับประกันหลอดภาพ 2000 ชั่วโมง หรือ 6 เดือน อย่างไรก็ตามโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ในปัจจุบันจะยืดอายุการใช้งานของหลอดภาพออกไปได้ถึง 6000 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการตั้งค่าและการนำไปใช้งานที่เหมาะสม เนื่องจากราคาหลอดภาพที่ยังราคาสูงอยู่ ก่อนที่ท่านจะตัดสินเลือกจะขอแนะนำว่าให้ท่านเลือกโปรเจคเตอร์ที่มีความสว่างและความละเอียดสูง ไว้ก่อน และถ้าท่านจะใช้งานถ้าแสงจากโปรเจคเตอร์จ้าเกินไปก็สามารถที่ปรับลดความสว่างของหลอดภาพได้ ทั้งยังสามารถที่จะยืดอายุหลอดภาพโปรเจคเตอร์ของท่านได้อีกด้วย
เคล็ดลับการเลือกซื้อ projector
1. หลอดไฟโปรเจคเตอร์ อายุการใช้งานของหลอดโปรเจคเตอร์ทั่วไปมากกว่า 2000ชั่วโมงขึ้นไป ถ้าอายุการใช้งานน้อยกว่านี้ต้องมีราคาที่ไม่แพง
2. ถ้าเลือกโปรเจคเตอร์ที่ค่าความสว่างมากๆก็มักจะมีอายุการใช้งานสั้นกว่า
3. วิธีการถนอมให้อายุการใช้งานโปรเจคเตอร์นานขึ้น คือ อย่าเปิดปิดโปรเจคเตอร์บ่อยๆ ถ้าหยุดใช้เครื่องไม่เกินครึ่งชั่วโมงไม่ควรปิดเครื่อง
4. หลอดไฟสำรองของรุ่น/ยี่ห้อนั้นควรหาซื้อได้ง่าย ถ้าให้ดีควรซื้อหลอดไฟสำรองไว้ตลอดเผื่อฉุกเฉินจะได้มีแปลี่ยนตลอดเวลา
5. Projector เป็นอุปกรณ์ที่มีราคาสูง หากเกิดการชำรุดหรือเสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ขึ้นมา คงจะเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร เพราะฉะนั้นควรสอบถามเรื่องระยะเวลารับการประกันชิ้นส่วนต่างๆ ของ Projector และหลอดภาพ รวมถึงศูนย์บริการในกรณีที่เกิดมีปัญหากับ Projector ขึ้นมา
6. ในกรณีที่ต้องมีการเคลื่อนย้าย Projector บ่อยๆ ก็ควรเลือก Projector ที่มีน้ำหนักเบาเข้าไว้ เดี๋ยวนี้ Projector ขนาดเล็กมีน้ำหนักเพียง 0.9 กิโลกรัมเท่านั้น