ความอ้วน เป็นปัญหาหนักใจของใครหลายๆคน ทั้งเรื่อง เสื้อผ้าที่หายาก เพราะต้องหาซื้อไซส์ใหญ่พิเศษมาใส่ ไหนจะเรื่องเพื่อนล้อ เป็นหมู เป็นหมีบ้าง เป็นแหนมมัด ข้าวต้มมัดบ้าง ไม่กล้าใส่ชุดว่ายน้ำ ทำให้ขาดความมั่นใจ ไหนจะปัญหาจุกจิกอีกมากมาย บุคลิกไม่ดี กลิ่นตัวแรง เป็นโรคต่างๆง่าย ปวดหลัง ปวดเท้า เบาหวาน เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยพยายามลดน้ำหนักมาหลายวิธีไม่ว่าจะเป็น การอดอาหาร งดทานมื้อเย็น ออกกำลังกายอย่างหนัก หรือเข้าคอร์สลดน้ำหนัก บางคนก็เสียเงินไปมากมายกับการลดน้ำหนัก แต่ก็ยังไม่ได้ผลเต็มที่ น้ำหนักลดลงนิดเดียว หรือน้ำหนักขึ้นๆลงๆไม่คงที่ ลองถามตัวคุณเองว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างจริงจังได้หรือยัง? การลดน้ำหนักเองให้ได้ผลดี หุ่นดีโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ไม่ใช้ยาลดความอ้วน โดยคำนวณว่า กินวันละกี่แคลอรี่ถึงจะไม่อ้วน และวิธีลดความอ้วนที่ง่ายที่สุด คือ คิดก่อนกิน ไม่จำเป็นต้องกินน้อย แต่เลือกกินแต่ของที่มีประโยชน์ ไม่หวานมันเค็มเกินไป
วิธีการคำนวณน้ำหนักที่เหมาะสมง่ายๆ
ชาย (ส่วนสูง – 100) = น้ำหนักมาตรฐาน
หญิง (ส่วนสูง – 110) = น้ำหนักมาตรฐาน
ตัวอย่าง: หญิง สูง 160 ซม. ใช้สูตรข้างบน (160 – 110) = 50
ดังนั้น 50 คือนำหนักที่เหมาะสม น้อยกว่าหรือมากกว่าได้ไม่เกิน 5 กก. ไม่อย่างนั้นถือว่าอ้วนหรือผอมไป
วิธีวัดรอบเอว วัดตรงไหน
ให้ระดับของสายวัดที่วัดรอบเอวแนบกับลำตัว ให้ตรงกับสะดือ ไม่รัดแน่น สำหรับผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว ถือว่าอยู่ในขั้นอันตรายแล้ว
คนที่มีรอบเอวใหญ่จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ไขมันในเลือดสูง โรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือแตก และความดันโลหิตสูง
ยาลดน้ำหนักได้ผลจริงหรือเป็นเรื่องหลอกลวง
ยาลดน้ำหนักหาซื้อได้ง่ายในสมัยนี้ ไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งยา ร้านเสริมสวย ร้านขายยา หรือทางอินเตอร์เน็ตก็มีขาย ยาบางตัวก็แรงมากจนน่ากลัว ยิ่งแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งมีผลต่อร่างกายของเรามากเท่านั้น ยาลดความอ้วนมีหลายประเภท เช่น
- แบบกดประสาทจะไปสั่งสมองเราให้รู้สึกไม่หิว
- แบบกินก่อนอาหาร จะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว ทำให้ลดปริมาณอาหารลง
- ประเภท L-carnitine ช่วยเร่งการเผาผลาญ มีผลเมื่อใช้ไปนานๆระบบเผาผลาญในร่างกายจะแย่ลง
- ประเภท Carbo-block กินก่อนอาหาร ช่วยลดการดูดซึมพวกแป้งและไขมัน ยิ่งเรากินมาก ก็ต้องใช้ยาตัวนี้มากด้วยเหมือกัน
กินวันละกี่แคลอรี่ถึงจะไม่อ้วน
ถ้าคุณอยากลดน้ำหนัก ให้พยายามเอาไขมันส่วนเกินในร่างกายออกมา แล้วใน 1วัน ควรกินกี่แคลอรี่? ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของแต่ละคนและค่า BMR (อัตราการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวัน)
สูตรคำนวณอัตราการเผาผลาญของร่างกายในชีวิตประจำวัน หรือ Basal Metabolic Rate (BMR) คือ
- สำหรับผู้ชาย : BMR = 66 + (13.7 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (5 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (6.8 x อายุ)
- สำหรับผู้หญิง : BMR = 665 + (9.6 x น้ำหนักตัวเป็น กก.) + (1.8 x ส่วนสูงเป็น ซม.) – (4.7 x อายุ)
ให้กินน้อยกว่าค่าพลังงานที่เราต้องการในแต่ละวัน เพื่อให้ร่างกายนำเอาพลังงานส่วนเกินออกมาใช้แทน
ยกตัวอย่าง
- สำหรับผู้ชายต้องการพลังงาน 2,000 แคลอรี่ต่อวัน หลักการคือ ให้กินน้อยกว่า 2,000 แคลอรี่ เช่น กินทั้งหมด 1,200 แคลอรี่ ที่เหลืออีก 800 แคลอรี่ร่างกายจะนำเอาพลังงานส่วนเกินออกมาใช้แทน แต่ควรกินอย่างน้อย 800 แคลอรี่ต่อวันเพื่อให้มีพลังงานเพียงพอและไม่เป็นอันตรายจากการขาดอาหาร
- ถ้าผู้หญิงต้องการพลังงาน1,300 แคลอรี่ต่อวัน ก็ให้กินน้อยกว่า 1,300 แคลอรี่
[su_highlight background=”#fffb99″]ถ้าวันไหนออกกำลังกายด้วยก็อย่ากินน้อยจนเกินไป เพราะร่างกายต้องการใช้พลังงาน[/su_highlight]
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาหารที่เรากินนั้นมีกี่แคลอรี่?
สมัยนี้มี App สมาร์ทโฟนหลายตัวสำหรับคำนวณแคลอรี่ทำเรากินแต่ละวันเอาไว้ใช้ ง่ายและสะดวกมากๆ แค่เลือกว่าเรากินะไรไปบ้างก็คำนวณออกมาให้หมดว่าวันนี้เรากินไปเท่าไหร่ เช่น แอพที่ชื่อ “CalTracker” หรือ “แคลอรี่ ไดอารี่” หรือ ดูได้ที่ ตารางแคลอรี่อาหาร ให้คุณได้คำนวณเองง่ายๆแล้วค่ะ
ให้เวลาลดน้ำหนักอย่างน้อย 3 เดือน
ควรให้เวลาในการลดน้ำหนักอย่างน้อย 3 เดือน (ไม่ควรน้อยกว่านี้) เพราะ 3 เดือนนั้นนานพอที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณ และลดขนาดกระเพาะของคุณด้วย นอกจากการกินการทำให้ร่างกายเราพยายามเคลื่อนไหวก็ทำให้ร่างกายได้เผาผลาญแคลอรี่และดีต่อสุขภาพด้วย ง่ายที่สุดคือการเดิน เดินแทนการใช้ลิฟท์หรือนั่งรถ จอดรถให้ไกลขึ้น ออกไปเดินเที่ยวหลังเลิกงาน ขยับร่างกายบ่อยๆระหว่างนั่งทำงาน ลุกเดินไปดื่มชาบ้างยืดกล้ามเนื้อบ้าง พยายามเดินให้ได้อย่างน้อยเก้าพันก้าวต่อวัน ใช้นาฬิกานับก้าวช่วย ถ้ามีเวลาออกกำลังกายให้หัวใจเต้นแรงๆบ้างเป็นกิจวัตรได้ก็ยิ่งดี
หลักการกินง่ายๆให้มีแคลอรี่ต่ำ
1. เน้นกินผักหรือผลไม้ที่มีไยอาหารหรือไฟเบอร์ไว้เยอะๆ
- เช่น ซุปผัก สลัด ยำต่างๆ ส้มตำ ต้มเลือดหมู น้ำพริกผักต้ม แกงผัก แกงจืด ใส่เนื้อนิดหน่อย ปลาลวกหรือปลานึ่ง อาจเลือกกินเนื้อไก่ จะย่อยง่ายกว่าเนื้อหมูหรือเนื้อวัว และมีแคลอรี่น้อยกว่าด้วย
- หลังบ่ายๆไปควรกินอาหารที่ไม่มีแป้ง เช่น ข้าวหรือขนมปัง หรือกินให้น้อยที่สุด หลังหกโมงไปไม่ควรกินอะไรเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ นอกจากผลไม้หรือน้ำเปล่า
- หากทานส้มตำไก่ย่างให้เลือกกิน อกไก่ แทนปีกไก่
2. ข้าวราดแกง
- กินข้าวกล้องหรือไรซ์เบอรี่มีกากใยสูง
- ไม่เลือกกินเมนูผัด ทอด หรือที่มีกะทิ
- ไข่เจียวหรือไข่ดาวเปลี่ยนเป็น ไข่ต้ม
- เปลี่ยนหมูกรอบเป็น หมูชิ้น
- เพิ่มผัก
- ผัดผักไม่เอาน้ำผัดราดข้าว
3. ก๋วยเตี๋ยว
- เลือกก๋วยเตี๋ยวน้ำใส
- เลือกวุ้นเส้นหรือหมี่ขาวแทน เส้นใหญ่ (ไม่เลือกกินหมี่เหลืองเพราะมีแคลอรี่เยอะสุด)
- ไม่ใส่กระเทียมเจียว หรือเกี๊ยวทอด
- เพิ่มผัก
- ไม่กินน้ำก๋วยเตี๋ยวจนหมด เพราะน้ำก๋วยเตี๋ยวใส่น้ำตาลเยอะ
4. เครื่องดื่มทุกชนิด
- กาแฟ เป็นเครื่องดื่มยอดฮิต แต่ก็มีถึง 300 แคลอรี่ เพราะใส่ทั้งน้ำตาลและนม คนที่ติดกาแฟมาก ให้เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ เพราะเราต้องการคาเฟอีนจากกาแฟ ไม่ใช่จากน้ำตาล กาแฟดำมีเพียง 10 แคลอรี่เท่านั้น กาแฟดำใส่น้ำแข็งก็ช่วยให้กินง่ายขึ้นเพราะรสชาติไม่ขมเหมือนกาแฟร้อน
- หลีกเลี่ยงน้ำผักผลไม้สำเร็จรูป น้ำผลไม้ปั่น เพราะใส่น้ำตาลเยอะ ให้เลือกเครื่องดื่มที่ไม่ใส่น้ำตาลหรือใส่น้ำตาลน้อย Low Fat Low Sugar หรือ No Sugar อาจใช้ วัตถุที่ให้ความหวานหรือน้ำตาลเทียม (Aspartame) แทน น้ำตาล ก็ได้ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะสารชนิดนี้ร่างกายเอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย ยิ่งกินมากร่างกายก็ยิ่งต้องกำจัดออกจากร่างกายมาก ทำให้ภูมิต้านทานของเราจะลดลงโดยไม่จำเป็น และยังสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสมองได้อีกด้วย ทางที่ดีไม่ใส่เลยจะดีกว่า ฝึกลิ้นให้ตัวเองไม่ติดหวาน จะได้ไม่ต้องการความหวานมาก เปลี่ยนเป็น ผลไม้สด ได้กากใยด้วยนะ
- เปลี่ยนน้ำหวาน ชามะนาว โอเลี้ยง เปลี่ยนเป็น น้ำสมุนไพรหวานน้อย
- น้ำอัดลม เปลี่ยนเป็น น้ำเย็นบีบมะนาวใส่เล็กน้อย
- ชานมไข่มุก ชาเขียว เปลี่ยนเป็น ชาร้อน
5. ผลไม้
- เลือกกินผลไม้ไม่หวานมาก เช่น มะละกอ ฝรั่ง แอ๊ปเปิ้ล แตงโม ส้มโอ
- ผลไม้ที่หวานมาก ควรกินน้อยๆ เช่น ทุเรียน กล้วยไข่ สัปปะรด มะม่วงสุก
- ผลไม้กระป๋องหรือผลไม้อบแห้งกินแล้วอ้วน กินให้น้อยๆ
3. โยเกิร์ต
- ช่วยย่อยอาหารในกระเพาะของคุณเป็นอย่างดี ควรทานเป็นประจำ ให้เลือกซื้อแบบ Low Fat
8. งดแอลกอฮอร์
- เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ ยิ่งดื่ม ร่างกายยิ่งทรุดโทรม ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานไม่เต็มที่ ควรพยายามไม่ไปสังสรรค์กินเหล้ากับเพื่อนเลยจะดีกว่า
9. ไม่กินขนมขบเคี้ยว
- ขนมขบเคี้ยวหนึ่งถุงให้พลังงาน 300-400 แคลอรี่ (ถึงแม้ถุงหนึ่งจะมีให้กินไม่กี่ชิ้นก็ตาม)
10. ขนมพวกเค้ก คุกกี้ เบเกอรี่ ขนมทอด งดเด็ดขาด
11. ทำอาหารกินเอง
- ไม่ใช้น้ำมันเยอะ
- ลดโซเดียม ใส่น้ำปลาน้อยๆ
12. ไม่ดูรูปอาหารที่น่ากินบ่อยๆ เพราะจะทำให้เรามีความอยากกิน
สิ่งสำคัญในการ ลดน้ําหนักด้วยตัวเอง คือ ใจ ของเราต้องจริงจังที่จะลดน้ำหนัก และทานอาหารแคลอรี่ต่ำให้ได้ แรกๆอาจจะยาก พอผ่านไป 3-4 วันก็จะชินและไม่ยากอีกต่อไป ถ้าคุณทำได้มันก็คุ้มกับร่างกายคุณแน่นอน